พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค [10. ปายาสิสูตร] อุปมาด้วยนักเลงสกา
อย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบาก
แห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี หากโยมสละทิฏฐิชั่วนี้จะมีคนว่าโยมได้ว่า เจ้าปายาสิ
นี้ช่างโง่เขลาไม่ฉลาด ยึดถือแต่สิ่งผิด ๆ โยมจะถือทิฏฐินั้นต่อไป เพราะความโกรธ
เพราะความลบหลู่ เพราะความแข่งดี
อุปมาด้วยนักเลงสกา
[434] บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับ
คนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เรื่องเคยมี
มาแล้ว มีนักเลงสกา 2 คนกำลังเล่นสกา คนหนึ่งกลืนเบี้ยที่จะทำให้แพ้ลูกแล้ว
ลูกเล่า อีกคนหนึ่งเห็นเช่นนั้นจึงพูดว่า เพื่อนเอ๋ย ท่านชนะอยู่ฝ่ายเดียว จงคืนลูกสกา
แก่เราบ้าง เราจะเซ่นบูชา นักเลงสกาคนนั้นรับคำแล้วมอบลูกสกาคืน ต่อมานัก
เลงสกาคนที่ 2 เอายาพิษทาลูกสกาแล้วบอกว่า มาเถิด เพื่อน เราจักเล่นสกา
กันต่อ นักเลงสกาคนแรกรับคำแล้ว
แม้ครั้งที่ 2 นักเลงสกาทั้ง 2 ก็เล่นสกากันต่อ แม้ครั้งที่ 2 นักเลงสกาคนแรก
ก็ยังกลืนเบี้ยที่จะทำให้แพ้ลูกแล้วลูกเล่า นักเลงสกาคนที่ 2 เห็นนักเลงคนแรก
กลืนเบี้ยที่จะทำให้แพ้ลูกแล้วลูกเล่า แม้ครั้งที่ 2 จึงได้พูดกับนักเลงสกาดังนี้ว่า
คนกลืนลูกสกาเคลือบยาพิษ
อย่างแรงกล้าก็ยังไม่รู้ตัว
เฮ้ย เจ้านักเลงชั่ว เจ้าจงกลืนเข้าไป
พิษร้ายแรงจักออกฤทธิ์แก่เจ้าภายหลัง1
บพิตร พระองค์ก็เช่นเดียวกับนักเลงสกานั่นแหละ โปรดสละทิฏฐิชั่วนั้นเถิด
ปล่อยวางทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ทิฏฐิชั่วเช่นนั้นอย่าได้เกิดมีแก่พระองค์เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์
ตลอดกาลนานเลย